นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย หรือทีเอ็มบี เปิดเผยว่า ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี คาดปีนี้ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะมีสต๊อกคอนโดมิเนียมสะสมเพิ่มขึ้นอีก 25% จากเดิมประมาณ 10% หลังถูกกระทบจากมาตรการควบคุมเข้มสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (แอลทีวี) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ซบเซา จนมีการคาดการณ์ว่าจะปรับลดเป้าหมายการเติบโตจากต้นปี เช่นเดียวกับจีนซึ่งเป็นผู้ลงทุนในตลาดคอนโดมิเนียมก็มีปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ต้องระบายสต๊อกบางพื้นที่ เน้นเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น

“หลังจากรัฐได้ออกมาตรการเฉพาะหน้า ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย.-31 ธ.ค.62 เพื่อกระตุ้นตลาดคอนโดมิเนียมเพื่อลดการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก และผลจากการควบคุมสินเชื่อเก็งกำไร คาดว่าในระยะสั้นๆจะปรับตัวดีขึ้นในส่วนของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยประเมินว่าทั้งปี 2562 มูลค่าตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ลดลงประมาณ 48,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการดูดซับ หรือโอนกรรมสิทธิ์ลดเหลือเพียง 75% จากปกติอยู่ที่ 90% โดยตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ ถึงเป็นแหล่งอสังหาริมทรัพย์สำคัญของไทย ในปี 2561 ที่ผ่านมามีมูลค่า 320,000 ล้านบาท คิดเป็น สัดส่วน 2.4% ของจีดีพี”

นอกจากนี้ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบีได้ประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งแยกออกเป็น 3 กลุ่ม ตามลักษณะของผู้ซื้อ คือ กลุ่มที่ 1 ผู้อยู่อาศัยเอง คิดเป็นสัดส่วน 60% ของการซื้อรวม ถูกกระทบจากปัจจัยกำลังซื้อภาวะเศรษฐกิจ ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น และราคาคอนโดมิเนียมที่อยู่ในระดับสูง ทำให้อัตราการดูดซับลดเหลือเพียง 85% ส่วนกลุ่มที่ 2 ผู้ซื้อคนไทยที่ต้องการเก็งกำไร คิดเป็นสัดส่วน 10% ของการซื้อรวม ในกลุ่มนี้จะหมายถึงผู้ซื้อคนไทยที่ซื้อคอนโดมิเนียมเป็นยูนิตที่ 2 และ 3 เป็นต้นไป รวมถึงกลุ่มที่ 3 คือ ผู้ซื้อเพื่อปล่อยเช่าในระยะยาว สัดส่วน 30% ของการซื้อรวม จะได้รับผลกระทบทั้งจากภาวะเศรษฐกิจของผู้ซื้อทั้งของไทยและต่างชาติ และมาตรการแอลทีวี ทำให้ขอสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์ได้ยากขึ้น ทำให้อัตราการดูดซับลดลงจาก 90% เป็น 70%.

ข้อมูลจาก : www.thairath.co.th